ATN.TEAM
งานฐานรากและงานพื้น
ฐานราก
ฐานราก คือฐานเริ่มของการก่อสร้างบ้าน เพื่อใช้เป็นส่วนที่รองรับน้ำหนักของตัวบ้านทั้งหลังเอาไว้ โดยฐานรากจะถูกฝังอยู่ใต้ดิน ซึ่งเราสามารถแบ่งฐานรากออกเป็นประเภทหลัก ๆ ได้ดังนี้
1. ฐานรากวางบนดินหรือฐานรากแผ่ Shallow Foundation
เป็นฐานรากแบบตื้นและแผ่กว้าง เพื่อให้สามารถถ่ายน้ำหนักของอาคาร กระจายลงสู่พื้นดินได้อย่างสม่ำเสมอ ทำให้ดินสามารถรับน้ำหนักบรรทุกของอาคารได้โดยปลอดภัย
การพิจารณาเลือกใช้ฐานรากชนิดแผ่
1.1 ชั้นดินที่ก่อสร้างสามารถรับน้ำหนักบรรทุกของอาคารได้ หากชั้นดินสามารถรับน้ำหนักบรรทุกที่กระทำได้ต่ำ ก็ควรใช้ฐานรากที่มีเสาเข็มดีกว่าเพราะการดำเนินก่อสร้างง่ายกว่าและประหยัดกว่า
1.2 ถ้าเป็นอาคารที่มีน้ำหนักบรรทุกไม่มากนักหรือบ้านพักอาศัย หากพบว่าดินที่ใช้ก่อสร้างเป็นดินทราย สามารถใช้เครื่องสั่นสะเทือนกระแทกให้ดินที่จะวางฐานรากแน่นเสียก่อน จะสามารถใช้ฐานรากแบบแผ่ได้ ซึ่งจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้
1.3 ในกรณีที่ดินใต้ฐานรากเป็นลักษณะดินอ่อนไม่ควรใช้ฐานรากแผ่ ควรใช้ฐานรากที่มีเสาเข็มดีกว่าเพราะสามรถรับน้ำหนักได้ดีกว่า และลดการทรุดตัวเมื่อเวลาผ่านไป บางครั้งดินบางจุดแข็ง บางจุดอ่อน ซึ่งส่วนนี้ต้องระวังอาจเกิดการทรุดตัวที่ไม่เท่ากัน จะทำให้บ้านหรืออาคารพังทลายได้
2. ฐานรากเสาเข็ม Pile Foundation
2.1 ฐานรากเสาเข็มตอก Driven Pile Foundation
เสาเข็มที่ใช้ตอกนั้นอาจเป็นเสาเข็มไม้ เสาเข็มคอนกรีต และเสาเข็มเหล็ก การเลือกใช้เสาเข็มต้องคำนึงถึงความเหมาะสม ราคา ความสะดวกในการก่อสร้าง และอาจเป็นไปตามแบบก่อสร้างที่ระบุโดยวิศวกรผู้ออกแบบ แต่โดยส่วนใหญ่จะใช้เสาเข็มคอนกรีต
2.2ฐานรากเสาเข็มเจาะ Bored pile Foundation
เสาเข็มเจาะเป็นเสาเข็มที่ให้ส่งถ่ายน้ำหนักของบ้านหรืออาคารลงสู่ดินที่อยู่ลึกลงไป จนเสาเข็มไม่อาจลงไปถึง หรือเสาเข็มมีจำนวนมากถ้าเราใช้เสาเข็มตอกการแทนที่ของดินที่มีปริมาณสูงมากอาจส่งผลเสียถึงอาคารใกล้เคียง หรือดินบริเวณที่จะก่อสร้างอ่อนไม่สามารถตอกเสาเข็มได้ ดังนั้น จึงใช้เสาเข็มเจาะมาใช้ในงานก่อสร้าง
เสาเข็มเจาะแบ่งออกเป็น 2 ระบบ คือ เสาเข็มเจาะระบบแห้ง และเสาเข็มเจาะระบบเปียก
งานพื้นอาคาร
พื้นมีหลายประเภท หลายรูปแบบ และหลายวัสดุ ซึ่งมีการรับน้ำหนักและการประกอบที่แตกต่างกัน โดยแบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ คือพื้นคอนกรีตหล่อในที่ (Cast-in-Place Concrete Slabs) พื้นคอนกรีตสำเร็จรูป (Precast Concrete Slabs) และแผ่นเหล็กพื้นโครงสร้าง (Metal Deck)
1. พื้นคอนกรีตหล่อในที่ (Cast-in-Place Concrete Slabs)
จะมีกระบวนการทำแบบสำหรับหล่อพื้น ผูกเหล็กเสริมของพื้นเชื่อมกับเหล็กในคาน แล้วจึงเทคอนกรีตพื้นให้เป็นเนื้อเดียวกับคานส่วนบน โดยสำหรับพื้นชั้นสองขึ้นไปต้องมีการตั้งค้ำยันแบบใต้ท้องพื้นจนกว่าคอนกรีตจะแข็งตัว อย่างน้อย 14 วัน ซึ่ง พื้นคอนกรีตหล่อในที่มี 2 รูปแบบคือ พื้นคอนกรีตวางบนคาน และ พื้นคอนกรีตวางบนดิน
2. พื้นคอนกรีตวางบนคาน (Slabs on Beam)
คือ พื้นที่ถ่ายน้ำหนักลงสู่คาน เป็นพื้นประเภทที่บ้านเรานิยมใช้มาก โดยเฉพาะบริเวณพื้นห้องน้ำ พื้นระเบียง พื้นดาดฟ้า ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่อาจมีน้ำขัง เสี่ยงต่อการรั่วซึม การถ่ายน้ำหนักของพื้นประเภทนี้มี 2 ลักษณะ คือ พื้นทางเดียวและพื้นสองทาง
3. พื้นคอนกรีตวางบนดิน (Slabs on Ground)
เป็นพื้นหล่อบนพื้นดินหรือทรายบดอัดแน่น ไม่มีคานรองรับ จึงใช้สำหรับพื้นชั้นล่างเท่านั้น การถ่ายน้ำหนักของพื้นประเภทนี้จะถ่ายลงสู่พื้นดินโดยตรง ดังนั้นการบดอัดดินหรือทรายให้แน่นเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะคอนกรีตจะแตกร้าวได้หากดินหรือทรายด้านล่างเกิดการยุบตัว
พื้นประเภทนี้ต้องอยู่อย่างอิสระจากโครงสร้างส่วนอื่น ๆ เพราะมีอัตราการทรุดตัวตามดินสูง หากจำเป็นต้องมีส่วนที่ติดกัน ต้องแยกรอยต่อให้ขาด โดยการคั่นด้วยแผ่นโฟม หรือออกแบบลดระดับพื้นบริเวณขอบพื้นโดยรอบให้เป็นรางสำหรับวางหินกรวดตกแต่งเพื่อปกปิดรอยต่อก็ได้
4. พื้นคอนกรีตสำเร็จรูป (Precast Concrete Slabs)
ผลิตจากคอนกรีตเสริมด้วยลวดอัดแรงกำลังสูงสำเร็จรูปจากโรงงาน เรียกกันโดยทั่วไปว่า “แผ่นพื้นสำเร็จรูป” แผ่นพื้นประเภทนี้นิยมใช้อย่างแพร่หลายสำหรับบ้านหรืออาคารขนาดเล็ก ติดตั้งโดยการวางบนคาน เสริมเหล็กด้านบนแล้วเทคอนกรีตทับหน้า (Topping) เรียกว่าเป็น “ระบบพื้นสำเร็จรูป” เป็นระบบพื้นที่ช่วยประหยัดเวลาในการก่อสร้าง เพราะไม่ต้องทำไม้แบบและไม่ต้องรอการเซ็ทตัวของคอนกรีต
ระบบพื้นสำเร็จรูปเหมาะกับพื้นที่ภายในบ้านและพื้นที่ใช้งานที่เป็นส่วนแห้งต่างๆ เช่น ห้องนอน ห้องนั่งเล่น เป็นต้น ไม่ควรใช้ในพื้นที่ภายนอกบ้าน และพื้นที่เปียก เช่น ระเบียง ห้องน้ำ ดาดฟ้า ฯลฯ เนื่องจากมีรอยต่อระหว่างแผ่นพื้นมาก อีกทั้งคอนกรีตที่เททับหน้าพื้นโดยทั่วไปหนาประมาณ 5–7 ซม. เท่านั้น จึงเสี่ยงต่อการรั่วซึมอย่างมาก นอกจากนี้ การเจาะแผ่นพื้นเพื่อฝั่งท่อระบายน้ำเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เพราะส่งผลให้พื้นแตกร้าวได้ง่าย และเสี่ยงต่อการรั่วซึมเช่นกัน
นอกจากนี้ หากต้องการปูวัสดุผิวพื้นจำพวกพื้นผิวไร้รอยต่อ เช่น พื้นซีเมนต์ขัดมัน พื้นหินขัด พื้นกรวดล้าง ฯลฯ บนระบบพื้นสำเร็จรูป จะเกิดความเสี่ยงในเรื่องรอยแตกร้าวที่ผิววัสดุได้ง่ายกว่าพื้นคอนกรีตหล่อในที่ เนื่องจากแผ่นพื้นสำเร็จรูปแต่ละแผ่นสามารถขยับตัวได้หากมีแรงสั่นสะเทือน ดังนั้น จึงควรปูวัสดุปูพื้นที่มีรอยต่อ หรือมีความยืดหยุ่นตัวพอสมควร เช่น กระเบื้องเซรามิก พื้นไม้ต่าง ๆ ทั้งไม้จริง ไม้ลามิเนต และ Engineering Floor
5. แผ่นเหล็กพื้นโครงสร้าง (Metal Deck)
เป็นระบบที่เหมาะกับโครงสร้างเหล็ก ประกอบด้วยแผ่นเหล็กรีดเป็นลอนต่างๆ ซึ่งผลิตจากโรงงานนำมาวางบนคาน โดยมีหัวหมุดเหล็ก (Shear stud) ยึดกับคานเหล็กเป็นระยะๆ แล้วเทคอนกรีตด้านบน แผ่นเหล็กนี้จะเป็นทั้งแบบและเหล็กเสริมไปในตัว ดังนั้นเหล็กเสริมจะน้อยกว่าแผ่นพื้นระบบอื่นๆ แต่ยังคงต้องเสริมเหล็กในคอนกรีตเพื่อกันการแตกร้าว นอกจากนี้ ท้องแผ่นเหล็กใช้เป็นฝ้าเพดานสําหรับชั้นใต้พื้นนั้นได้ด้วย พื้นชนิดนี้ค่อนข้างเบาและก่อสร้างรวดเร็ว สามารถใช้ทำหลังคาดาดฟ้ารวมถึงพื้นที่เปียกได้ โดยควรทำระบบกันซึมเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม ราคาค่าก่อสร้างโดยรวมยังสูงกว่าระบบพื้นประเภทอื่น และควรพ่นหรือทาสีกันสนิมและกันไฟเพิ่มเติมด้วย
พื้นมีหลายประเภท หลายรูปแบบ และมีวัสดุหลากหลายให้เลือกใช้งาน การเลือกพื้นแต่ละประเภทสำหรับการสร้างบ้านจึงควรดูความเหมาะสมกับการใช้งานและการรับน้ำหนักในแต่ละพื้นที่ เพื่อให้สามารถรับน้ำหนักสิ่งของต่างๆ ในบ้านรวมถึงตัวเราเองด้วย ได้อย่างสมบูรณ์และปลอดภัย โดยทางที่ดีที่สุดแนะนำให้เลือกใช้ตามที่วิศวกรกำหนด







